ผู้ที่เคยบวชและเรียนนักธรรมย่อมจะคุ้นเคยกับคำศัพท์
๒ คำ นี้ "ปัณณัตติวัชชะ และโลกวัชชะ"
ในวิชา "วินัยมุข เล่ม ๑ สำหรับนักธรรมชั้นตรี" แต่หลาย
ๆ ท่านคงจะลืมไปแล้ว และหลายท่าน "ไม่เคยเรียน แต่ชอบจำขี้ปากคนอื่นมากพูด
หรือเอาความรู้สึกมาตัดสินพระเณร.. ไม่เคยเรียนวิชาวินัย แต่อยากพูดวินัย
.. ไม่เคยเรียนกฎหมาย แต่ชอบวิจารณ์กฎหมาย ... ไม่ได้เรียนรู้การเมือง
แต่ชอบวิจารณ์การเมือง .. รู้แล้วชี้นั่นดีเลิศ ไม่รู้ไม่ชี้ก็ยังพอทำเนา
แต่ไม่รู้แล้วดันทุรังชี้นี่สิน่าคิด" ดังนั้น เพื่อกันลืม จึงขอนำเสนออีกครั้งหนึ่ง
ครับ
ปัณณัตติวัชชะ
แปลว่า โทษทางพระวินัยบัญญัติ/ประพฤติผิดศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
หมายถึงการที่พระกระทำผิดพระวินัย หรือทำผิดศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
เช่น โกหก ด่าภิกษุ ฉันอาหารที่ไม่มีผู้ประเคน มีเจตนาฆ่าสัตว์ พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน
ฯลฯ
ปัณณัตติวัชชะ โทษทางพระวินัยบัญญัติ หรือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม
เรียกว่าอาบัติ. อาบัตินั้นว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง คือ (๑)ปาราชิก (๒)
สังฆาทิเสส (๓) ถุลลัจจัย (๔) ปาจิตตีย์ (๕) ปาฏิเทสนียะ (๖) ทุกกฏ
(๗) ทุพภาสิต
โลกวัชชะ
แปลว่า "โทษทางโลก, ความผิดทางโลก, อาบัติที่มีโทษทางโลกด้วย"
เช่น ภิกษุเสพสิ่งเสพติด มียาเสพติดที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น จัดว่าเป็น
โลกวัชชะ เพราะเป็นสิ่งที่กฎหมายบ้านเมืองจัดว่าอยู่ในสิ่งที่ผิด
โลกวัชชะ
หมายถึง การกระทำที่แม้แต่คนทั่วไป(ซึ่งมิใช่พระภิกษุ)ทำก็เป็นความผิด
เป็นความเสียหาย พูดง่ายๆว่า ผิดกฎหมาย เช่น เสพยาเสพติด โจรกรรม ฆ่า
มนุษย์ ทุบตีกัน หมิ่นประมาทกัน เป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อพระภิกษุรูปทำในสิ่งที่กฎหมายทางโลกบัญญัติไว้
แม้พระภิกษุรูปนั้นจะไม่ผิดศีล แค่ก็ผิดกฎหมาย รับโทษดังคนทั่วไปเดียวกัน
ไม่มีข้อยกเว้น
โลกวัชชะ
มาจาก โลกสฺส วชฺชํ =โลกวชฺชํ (โทษของชาวโลก/ความผิดทางบ้านเมือง,
ผิดกฎหมาย (มิใช่โทษทางพระวินัย) ดังนั้นจึงชื่อว่า โลกวัชชะ โทษทางโลก
(โทษตามกฎหมายของชาวโลก)... ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
(๑) ประหารชีวิต (๒) จำคุก (๓) กักขัง (๔) ปรับ (๕) ริบทรัพย์สิน
โลกวัชชะ
มิได้แปลว่า "โลกติเตียน" เหมือนที่ใคร ๆ แปลกันมั่ว
(แปลภาษาบาลีโดยไม่มีความรู้ภาษาบาลี และแปลไม่ยึดหลักภาษา) ขณะเดียวกัน
หากเราศึกษาพระพุทธศาสนากันอย่างเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญ่
ให้พระสงฆ์ปกครองกันเอง เมื่อใครทำผิดพระสงฆ์ท่านก็จะจัดการกันเองตามพระธรรมวินัย
... พระพุทธเจ้ามิได้ทรงอนุญาตให้อุบาสก อุบาสิกาติเตียน
ด่าว่า นินทา หรือใส่ความพระสงฆ์เลยแม่แต่น้อย ดังที่หลาย ๆ คนเข้าใจ
และถ้าใครขืนทำเช่นนั้น "กรรม" ย่อมเกิดแก่คนนั้นเอง...
"เพียงแค่คิดจิตก็ไม่ปกติ" แม้แต่พระภิกษุเองหากด่าว่าพระภิกษุ
พระพุทธเจ้าก็ยังทรงปรับเป็นอาบัติ(ความผิด)... พระภิกษุเองหากใส่ความพระภิกษุด้วยกัน
แม้จะเพื่อหยอกล้อกันก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติเป็นความผิด แต่หากโจทย์
(เป็น ๑ ในขั้นตอนที่ทำตามพระวินัย) เพื่อรักษาความถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
และไม่ปรับเป็นอาบัติ
ขณะเดียวกัน
"พระภิกษุ อยู่ในฐานะปูชนียบุคคลที่ชาวพุทธให้ความเคารพ"
.. พระภิกษุมิได้เป็นคนสาธารณะเหมือนนักการเมือง....หากพระภิกษุถูกใส่ร้าย
ป้ายสี นินทา ตีเตียน หมิ่นประมาท ด่าว่า ท่านก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมเหมือนคนทั่วไปที่จะร้องขอต่อศาลให้ผดุงความยุติธรรม
ให้ลงโทษฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๗ และ ๓๒๘
สุดแต่จะทำผิดมาตราใด
"ไม่มีโทษ
ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ / ไม่มีกฎหมาย ก็ไม่มีความผิด." คนจะกระทำผิดกฎหมายได้
ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดเท่านั้น หากไม่มีกฎหมายกำหนดไว้
ความผิดก็ไม่มี"
.สำหรับพระก็เช่นเดียวกัน "ไม่มีโทษ ถ้าไม่มีพระวินัยบัญญัติไว้
ความผิดศีลจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อกระทำในสิ่งที่วินัยบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด"
"กฎหมายออกโดยอำนาจนิติบัญญัติ
จะเลิกไปก็โดยอำนาจนิติบัญญัติ
ศีลของพระก็เช่นเดียวกัน ศีลบัญญัติโดยพระพุทธเจ้า
จะเลิกไปก็โดยพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์(ตามที่พระพุทธองค์ตรัสอนุญาตไว้ในมหาปรินิพพานสูตร)เท่านั้น"
คนอื่นจะมาบัญญัติให้พระเป็นความผิดตามใจชอบ หาถูกต้องด้วยพระธรรมวินัยไม่
เพื่อความเข้าใจถูกต้องของผู้ใฝ่รู้ทั้งหลาย
อย่าเข้าใจในทางที่ผิด เพราะบางครั้ง พอเราเห็นพระพายเรือ ปั่นจักรยาน
นั่งเครื่องบิน เป็นต้น ก็มักจะพูดกันว่า "เป็นโลกวัชชะ"
ทั้ง ๆ ที่ไม่ผิดศีลแม้แต่ข้อเดียว และไม่เป็นโลกวัชชะ เพราะคนทั่วไปพายเรือ
ปั่นจักรยาน นั่งเครื่องบิน เป็นต้น ถือว่าไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ประเด็น
"โลกวัชชะ ปัณณัตติวัชชะ" นี้ อย่าว่าแต่ครูอาจารย์ผู้สอนนักธรรมเลยครับ
เท่าที่ผมสัมผัส สังเกต ครูผู้สอนในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยทั้งของพระ
และของบ้านเมือง เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ และแม้พระครู เจ้าคุณ หลาย
ๆ ท่าน ยังอธิบายไม่ถูก (อธิบายข้างๆคูๆ มั่วไปหมด) เพราะท่านไม่มีพื้นฐานทางด้านกฎหมาย/ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์มา
บางท่านเรียนกฎหมายแต่ไม่ได้เรียนพระธรรมวินัย ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก
ไม่เคยแปลบาลี (ไม่เคยแปลพระไตรปิฎก) ครับ
บทความ
"ปัณณัตติวัชชะ และโลกวัชชะ" นี้ ถึงแม้ว่าแอดมิน (พระมหาบุญโฮม
ปริปุณฺณสีโล วัดท่าไทร) ได้เขียนและนำลงเฟชไว้นานแล้ว แต่ "ยังเป็นอมตะ
ประหนึ่งเขียนไม่นาน" เพราะสังคมเราแทนที่จะใช้องค์ความรู้ที่เรียนมาคิด
วิเคราะห์ แยกแยะอย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา หลักวิชาการ และเป็นระบบ
(วิจัยในชีวิตจริง) แต่กลับชอบใช้ "มโน (unknowledge/ manoledge
ขาดองค์ความรู้ ไม่ใช้หลักวิชาการ ไม่เข้าใจบริบทที่แท้จริง แล้วมโนคิดมั่ว
ๆ ไปเอง) จับแพะชนแกะ แล้ว "หาเหตุดราม่า" ย่ำยี ไส่สี ใส่ร้ายป้ายสีพระสงฆ์
อย่างขาดมโนธรรม" ตีความหมายไปอย่างข้าง ๆ คูๆ "สร้างวจีกรรมให้แก่ตัวเอง"
ประมาณว่า "ฉันจะพูด ฉันจะดราม่า ใครจะทำไม" ... ประเด็นนี้
แอดมินเคยเขียนลงเฟชไว้นานเป็นปีแล้ว วันนี้ก็ยังทันสมัย ควรค่าแก่การอ่าน
ครับ
----------------------------------
ภาพประกอบ.. เป็นภาพสไลด์ ประกอบการบรรยายวิชา "วินัย นักธรรมชั้นตรี"
ที่แอดมินผลิตและประกอบการบรรยายมานานหลายสิบปี (แต่ยังทำไม่สมบูรณ์สักทีหนึ่ง
เอาไว้ว่าง ๆ จะปรับแก้ให้สมบูรณ์ต่อไป)
ที่มา.-
เฟชบุ้ค "พระมหาบุญโฮม"
https://www.facebook.com/mahabunhome
*******************
|